กฐิน คือสังฆกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีพระพุทธานุญาตไว้เพื่อขยายระยะเวลาทำจีวรให้ยาวออกไป โดยปกติระยะเวลาทำจีวรมีเพียงท้ายฤดูฝน ถ้าได้กรานกฐินแล้ว ระยะเวลาย่อมขยายออกไปตลอดฤดูหนาว ในกาลต่อมา ได้กำหนดเป็นประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญอันหนึ่งของชาวไทยที่เป็นพุทธศาสนิกสืบต่อตกทอดมาแต่โบราณกาล เท่าที่มีหลักฐานทราบได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เรียกเป็นสามัญว่า “ประเพณีทอดกฐิน”
มูลเหตุของกฐิน
มูลเหตุที่จะให้เกิดมีเรื่องกฐินขึ้นนั้น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎก กฐินขันธกะ กล่าวไว้เป็นใจความว่า สมัยหนึ่ง ภิกษุชาวเมืองปาฐาประมาณ ๓๐ รูป ถือธุดงควัตรเคร่งครัด มีประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี จึงชวนกันเดินทางจากเมืองปาฐาไปเมืองสาวัตถี พอไปถึงเมืองสาเกตซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถีระยะทางประมาณ ๖ โยชน์ (๙๖ กม.) ก็พอดีถึงวันเข้าพรรษา จึงต้องพักจำพรรษาที่เมืองสาเกต ในระหว่างสามเดือนที่จำพรรษาอยู่นั้นมีความร้อนรนกระวนกระวายใคร่จะเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง พอออกพรรษาปวารณาแล้วต่างก็รีบออกเดินทางจากเมืองสาเกตทันที เวลานั้นฝนยังชุกอยู่ ทางเดินจึงเป็นตมเป็นโคลนเปรอะเปื้อน พอถึงเมืองสาวัตถีก็รีบเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามถึงการเดินทางและการอยู่จำพรรษาในเมืองสาเกตว่ามีความสะดวกสบายดีอยู่หรือ ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลถึงความตั้งใจที่จะรีบมาเฝ้า ตลอดจนความลำบากในการเดินทาง ต้องกรำแดดกรำฝนจนจีวรเปียกชุ่มและเปรอะเปื้อนให้ทรงทราบ ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงยกขึ้นเป็นเหตุ มีพระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน คือเมื่อมีผ้าเกิดขึ้นแก่สงฆ์พอจะทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ สงฆ์พึงประชุมพร้อมใจกันยกผ้าผืนนั้นถวายภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เช่นภิกษุผู้มีจีวรเก่า มีพรรษามาก หรือสามารถทำกฐินัตถารกิจได้ถูกต้อง ภิกษุผู้ได้รับผ้านั้นเอาไปทำจีวรผืนใดผืนหนึ่งให้แล้วเสร็จในวันนั้นแล้ว กลับมาบอกสงฆ์ผู้ยกผ้าให้นั้นเพื่ออนุโมทนา การกรานกฐินนั้นโปรดให้ทำเป็นการสงฆ์ ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันออกพรรษาไป โดยมีข้อกำหนดว่า ภิกษุผู้กรานกฐินนั้นต้องเป็นผู้จำพรรษาแล้วตลอดสามเดือนไม่มีขาดในวัดเดียวกัน ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่ห้ารูปขึ้นไป
ประเภทของกฐิน
กฐินมีสองประเภท คือ กฐินหลวง และ กฐินราษฎร์ ซึ่งเรียกเป็นสามัญแต่เพียงสั้นๆ ว่า กฐิน
กฐินที่ใช้ผ้าองค์กฐินของหลวง เรียกว่า กฐินหลวง และกฐินหลวงนี้เอง ถ้าพระราชทานให้กระทรวง ทบวง กรม องค์การ สมาคม ตลอดจนเอกชนนำไปทอด เรียกว่า กฐินพระราชทาน
กฐินที่ราษฎรทำกันทั่วๆ ไป เรียกว่า กฐินราษฎร์
ในกฐินราษฎร์นี้เองยังแยกเรียกกันออกไปเป็นสองอย่าง คือ จุลกฐิน และ มหากฐิน
กฐินที่จัดทำตั้งแต่เริ่มเก็บฝ้ายมาปั่นกรอให้เป็นด้ายแล้วทอจนเป็นผืนผ้า เย็บย้อมเสร็จแล้วทอดในวันนั้น มีกำหนดเวลาให้ทำเสร็จภายใน ๒๔ ชั่วโมง เรียกว่า จุลกฐิน เพราะต้องรีบทำให้เสร็จในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนกฐินที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ เรียกว่า มหากฐิน เพราะมีเวลาตระเตรียมได้นานวัน ไม่จำกัดเวลาดั่งจุลกฐิน มหากฐินนี้เรียกกันเป็นสามัญแต่เพียงว่า กฐิน
กำหนดเทศกาลกฐิน
ประเพณีนี้มีกำหนดฤดูกาลที่จะทำไว้ตามวินัยนิยมบรมพุทธานุญาต ต้องทำภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันออกพรรษาไปแล้ว คือตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่ง เดือนสิบเอ็ด จนถึงวันกลางเดือนสิบสอง (ตกอยู่ในราว ตุลาคม -พฤศจิกายน) จะทำก่อนหรือหลังกำหนดเวลาที่กล่าวนี้ไม่ได้ ภายในกำหนดเวลานี้เรียกกันโดยทั่วๆ ไปว่า กฐินกาล เทศกาลกฐิน หน้ากฐิน หรือ ฤดูกฐิน ซึ่งหมายความว่าเป็นเวลาที่ทอดกฐินได้
จองกฐิน
ก่อนถึงกฐินกาล ผู้ประสงค์จะทอดกฐิน ณ วัดใด ต้องไปแจ้งความจำนงให้พระและประชาชนละแวกวัดนั้นทราบว่า ตนจะทอดกฐินที่วัดนั้น เป็นการล่วงหน้า การแสดงความจำนงนี้เรียกว่า จองกฐิน การจองกฐินนี้จองได้แต่วัดราษฎร์ วัดหลวงจองไม่ได้ เพราะมีนิยมว่าวัดหลวงต้องได้รับกฐินหลวง ถึงกระนั้นก็ดี บัดนี้ได้พระราชทานโอกาสให้กระทรวง ทบวง กรม องค์การ สมาคม ตลอดจนเอกชน ขอพระราชทานเพื่อทอดกฐินตามวัดหลวงได้โดยใช้ผ้าองค์กฐินของหลวง (วิธีขอพระราชทาน ดูในเรื่อง กฐินพระราชทาน) ทั้งนี้ เว้นวัดหลวงที่สำคัญ ๑๖ วัด ห้ามขอพระราชทาน นอกจากจะพระราชทานให้ผู้ใดผู้หนึ่งไปทอดแทนพระองค์ วัดหลวง ๑๖ วัดนั้น คือ
กรุงเทพมหานคร ๑.วัดเทพศิรินทราวาส ๒. วัดบวรนิเวศวิหาร ๓. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ๔.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๕. วัดมกุฏกษัตริยาราม ๖. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ๗. วัดราชบพิธ ๘. วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ๙. วัดราชาธิวาส ๑๐. วัดสุทัศนเทพวราราม ๑๑. วัดราชโอรสาราม ๑๒. วัดอรุณราชวราราม
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑. วัดนิเวศธรรมประวัติ ๒. วัดสุวรรณดาราราม
จังหวัดนครปฐม วัดพระปฐมเจดีย์
จังหวัดพิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ทอดกฐิน
ครั้นถึงกฐินกาล ผู้ที่จองกฐินไว้ก็เตรียมข้าวของโดยเฉพาะผ้าซึ่งจะทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ อย่างน้อยก็พอที่จะทำเป็นสบงได้ ผ้านี้จะเป็นผ้าขาวที่ยังไม่ได้เย็บ หรือเย็บแล้วแต่ยังไม่ได้ย้อมเหลือง หรือย้อมเหลืองแล้วก็ได้ ผ้าดังกล่าวเป็นของสำคัญ ไม่มีไม่ได้ จึงเรียกว่า องค์กฐิน ส่วนของอื่นซึ่งเรียกว่า บริวารกฐิน นั้นไม่มีกำหนด แล้วแต่ศรัทธา เมื่อเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ เรียกว่า ทอดกฐิน ก่อนที่จะนำกฐินไปทอด ถ้ามีพิธีฉลอง เรียกว่า ฉลองกฐิน และในขณะนำไปทอด ถ้ามีพิธีแห่ จะเป็นทางบกหรือทางน้ำก็ตาม เรียกว่า แห่กฐิน ในการทอดกฐินนี้มีประเพณีอย่างหนึ่ง คือผู้ทอดกฐินต้องทำธงผ้าเขียนเป็นรูปสัตว์ เช่น จระเข้ หรือเต่า ไปด้วย เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้วก็นำไปปักไว้ที่ศาลาวัด ที่หน้าโบสถ์ หรือหน้าวัด หรือที่ใดที่หนึ่งซึ่งจะเห็นได้ง่าย เพื่อเป็นเครื่องหมายว่า วัดนี้ทอดกฐินแล้ว
เมื่อจวนจะสิ้นกฐินกาล ราวขึ้น ๑๔ - ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง มักจะมีผู้มีศรัทธา หมายจะสงเคราะห์ภิกษุสงฆ์ให้ได้อานิสงส์กฐิน ไปสืบเสาะหาวัดที่ไม่มีใครทอดกฐิน เมื่อพบก็จัดการทอดทีเดียว กฐินชนิดนี้เรียกว่า กฐินตก หรือ กฐินตกค้าง บางทีก็เรียกว่า กฐินจร หรือ กฐินโจร ซึ่งหมายความว่า กฐินที่ไม่ได้จองล่วงหน้าตามธรรมเนียม จู่ๆ ก็ไปทอดโดยมิได้บอกให้รู้ตัว
อานิสงส์กฐิน (สำหรับภิกษุ)
ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้วย่อมได้อานิสงส์ (เอกสิทธิ์) ห้าประการ คือ
๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรคในปาจิตตีย์กัณฑ์
๒. เที่ยวจาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
๓. ฉันคณโภชน์ได้
๔. เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕. จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของได้แก่พวกเธอ
ทั้งได้โอกาสขยายจีวรกาลให้ยาวออกไปตลอด ๔ เดือนฤดูเหมันต์ด้วย (ดูเรื่องพิสดารใน วินัยมุข เล่ม ๓ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
เรื่องกฐินนี้ชั้นเดิมเป็นเรื่องของภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะ เพราะเป็นสังฆกรรม ภิกษุสงฆ์ต้องจัดการขวนขวายหาผ้ามาเองโดยวิธีบังสุกุล หรือเก็บผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามกองขยะหรือป่าช้า หรือที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งแสดงว่าผ้านั้นไม่มีเจ้าของ จะออกปากขอโดยตรงหรือโดยปริยายก็ไม่ได้ จึงลำบากอยู่มาก ภายหลังคฤหัสถ์ผู้ศรัทธา เห็นความลำบากของภิกษุสงฆ์ ปรารถนาจะอนุเคราะห์ ประกอบทั้งหวังบุญกุศลด้วย จึงถือเป็นหน้าที่จัดถวายเพื่อเป็นการสะดวกแก่ภิกษุสงฆ์ หรือแม้ภิกษุสามเณรถ้าปรารถนาจะอนุเคราะห์ภิกษุสงฆ์ให้ได้กรานกฐิน จะจัดการทอดกฐินบ้างก็ได้
หลักความ ได้จาก สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน