Sunday, September 18, 2011

ถ้อยคำอันเนื่องมาจากกฐิน


คำว่า กฐิน
ตามศัพท์แปลว่า “ไม้สะดึง” คือไม้แบบสำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวร ในทางพระวินัย ใช้เป็นชื่อเรียกสังฆกรรมอย่างหนึ่ง (ในประเภทญัตติทุติยกรรม) ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว เพื่อแสดงออกซึ่งความสามัคคีของภิกษุที่ได้จำพรรษาอยู่ร่วมกัน โดยให้พวกเธอพร้อมใจกันยกมอบผ้าผืนหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่สงฆ์  ให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ที่เป็นผู้มีคุณสมบัติสมควร แล้วภิกษุรูปนั้นนำผ้าที่ได้รับมอบไปทำเป็นจีวร (จะทำเป็นอันตรวาสก หรืออุตราสงค์ หรือสังฆาฏิก็ได้) และพวกเธอทั้งหมดจะต้องช่วยภิกษุนั้นทำ ครั้นทำเสร็จแล้ว ภิกษุรูปนั้นแจ้งให้ที่ประชุมสงฆ์ซึ่งได้มอบผ้าแก่เธอนั้นทราบเพื่ออนุโมทนา เมื่อสงฆ์คือที่ประชุมแห่งภิกษุเหล่านั้นอนุโมทนาแล้ว ก็ทำให้พวกเธอได้สิทธิพิเศษที่จะขยายเขตทำจีวรให้ยาวออกไป (เขตทำจีวรตามปกติ ถึงกลางเดือน ๑๒ ขยายต่อออกไปถึงกลางเดือน ๔) ผ้าที่สงฆ์ยกมอบให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งนั้นเรียกว่า ผ้ากฐิน (กฐินทุสสะ) สงฆ์ผู้ประกอบกฐินกรรมต้องมีจำนวนภิกษุอย่างน้อย ๕ รูป ระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ประกอบกฐินกรรมได้ มีเพียง ๑ เดือนต่อจากสิ้นสุดการจำพรรษา เรียกว่า เขตกฐิน คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
          ภิกษุผู้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการ (เหมือนอานิสงส์การจำพรรษา) ยืดออกไปอีก ๔ เดือน (ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔) และได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลออกไปตลอด ๔ เดือนนั้น

จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ BUDSIR VI

กฐินต้น
กฐินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงทอด ณ วัดใดวัดหนึ่งเป็นการส่วนพระองค์

กฐินเดาะ
กฐินเดาะ หรือ เดาะกฐิน  ศัพท์นี้ภาษาลีว่า   ินุทฺธาโร,  ินุพฺภาโร   แปลว่า  รื้อไม้สะดึง ความหมายก็คือ ยกเลิกการกรานกฐิน คือไม่สามารถจะหาผ้ามาทำให้สำเร็จเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ หรือผ้าที่ได้มานั้นไม่อาจจะใช้เป็นผ้ากฐินได้ เช่นเป็นผ้าที่ออกปากขอได้มา หรือสงฆ์ในวัดนั้นไม่พร้อมใจกันกรานกฐินด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม เรียกกรณีดังว่ามานี้ว่า กฐินเดาะ หรือ เดาะกฐิน ความหมายที่เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ขาดสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์หรืออานิสงส์แห่งกฐิน หรือ ไม่สำเร็จเป็นกฐิน

กฐินัตถารกรรม, กฐินัตถารกิจ 
การกรานกฐิน

กรานกฐิน 
ขึงไม้สะดึง คือเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง เย็บเสร็จแล้วบอกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ร่วมใจกันยกผ้าให้ในนามของสงฆ์ เพื่ออนุโมทนา ภิกษุผู้เย็บจีวรเช่นนั้นเรียกว่า ผู้กราน
          พิธีทำในบัดนี้คือ ภิกษุซึ่งจำพรรษาครบสามเดือนในวัดเดียวกัน (ต้องมีจำนวน ๕ รูปขึ้นไป) ประชุมกันในอุโบสถ พร้อมใจกันยกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอ ภิกษุรูปนั้นทำกิจ ตั้งแต่ ซัก กะ ตัด เย็บ ย้อมให้เสร็จในวันนั้น ทำพินทุกัปปะอธิษฐานเป็นจีวรครองผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวร แล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ยกผ้าให้เพื่ออนุโมทนา และภิกษุนั้นอนุโมทนาแล้ว เรียกว่า กรานกฐิน ถ้าผ้ากฐินเป็นจีวรสำเร็จรูป กิจที่จะต้อง ซัก กะ ตัด เย็บ ย้อม ก็ไม่มี (กราน เป็นภาษาเขมร แปลว่า “ขึง” คือทำให้ตึง กฐิน เป็นภาษาบาลี แปลว่า “ไม้สะดึง” กรานกฐิน ก็คือ “ขึงไม้สะดึง” คือเอาผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรเข้าขึงที่ไม้สะดึง) เขียน กราลกฐิน บ้างก็มี

คณโภชน์ 
อานิสงส์กฐินข้อ  ฉันคณโภชน์ได้  คำว่า คณโภชน์  แปลว่า ฉันเป็นหมู่ คือ ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป รับนิมนต์ออกชื่อโภชนะแล้วฉัน
“รับนิมนต์ออกชื่อโภชนะ” หมายถึงเจ้าภาพนิมนต์ไปฉันโดยระบุชื่ออาหารที่จะถวาย เช่น นิมนต์ฉันไก่ย่าง นิมนต์ฉันหมูสะเต๊ะ  ตามปกติ ถ้าเจ้าภาพนิมนต์โดยระบุชื่ออาหารเช่นนี้ ภิกษุจะรับนิมนต์ไม่ได้ เพราะผิดวินัยบัญญัติ เจ้าภาพที่รู้วินัยสงฆ์จึงนิมนต์โดยใช้คำเป็นกลางๆ เช่น นิมนต์ฉันภัตตาหารเพล แต่เมื่อได้กรานกฐินแล้ว ภิกษุรับนิมนต์ออกชื่อโภชนะเช่นนั้นได้ตลอดระยะกาลเวลาที่อานิสงส์กฐินยังมีอยู่ คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔
ในหนังสือวินัยมุข สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงมีข้อพิจารณาว่า คำว่า  คณโภชน์  บางทีจะหมายถึงการนั่งล้อมโภชนะฉัน หรือฉันเข้าวง

No comments:

Post a Comment