Sunday, September 18, 2011

ปัญหาเรื่องพระห้ารูป


ในการทอดกฐินนั้นเคยมีปัญหาถามกันว่า ต้องมีพระอย่างน้อยกี่รูปจึงจะรับกฐินได้
ปัญหานี้มีคำตอบจากหลักฐานในพระคัมภีร์ที่ชัดเจนเข้าใจตรงกันหมดแล้วว่า ต้องมีพระอย่างน้อย ๕ (ห้า) รูป น้อยกว่านี้รับกฐินไม่ได้
ปัญหาเรื่องพระห้ารูปยังมีต่อไปอีกว่า ต้องเป็นพระที่จำพรรษาในวัดเดียวกันทั้งห้ารูป หรือว่า ถ้าวัดเดียวกันมีไม่ถึงห้ารูป ไปนิมนต์มาจากวัดอื่นเพื่อให้ครบห้ารูป จะใช้ได้หรือไม่ คือถูกต้องตามเจตนารมณ์แห่งพุทธบัญญัติหรือไม่
บางมติว่า ต้องอยู่วัดเดียวกันทั้งห้ารูป วัดไหนมีพระไม่ถึงห้ารูป รับกฐินไม่ได้  แต่บางมติบอกว่า นิมนต์จากวัดอื่นมาให้ครบห้ารูปก็ใช้ได้ 
ปัญหานี้มีอาการคล้ายๆ กับอาการในระยะต้นๆ ของปัญหาเรื่องจำนวนพระที่จะรับกฐินได้
คือเมื่อสมัยที่การศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัยแล้วเผยแผ่ให้รับรู้ทั่วกันยังทำได้ในวงแคบนั้น ก็เคยสงสัยกันมาว่า จะทอดกฐินได้ต้องมีพระอย่างน้อยกี่รูป เดี๋ยวนี้ปัญหานี้ไม่เป็นปัญหาอีกแล้ว เพราะมีหลักฐานที่ยืนยันให้เข้าใจและยอมรับตรงกันหมดแล้วว่า ต้องมีพระอย่างน้อยห้ารูป แต่ประเด็นปัญหาเลื่อนไปอยู่ตรงที่ว่า พระห้ารูปนั้นจะต้องมาจากไหน
เรื่องนี้คงจะมีมูลเหตุมาจากวัดบางวัดมีพระจำพรรษาไม่ถึงห้ารูป แต่ญาติโยมอยากทอดกฐินที่วัดนั้นเพื่อจะสงเคราะห์พระให้ได้รับอานิสงส์กฐิน หรือเพราะมีความศรัทธาผูกพันกันด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ทั้งพระในวัดนั้นเองก็อยากจะรับกฐินด้วย จึงหาทางออกด้วยการไปนิมนต์พระจากวัดอื่นมาให้ครบห้ารูปเพื่อจะได้รับกฐินได้ตามพุทธบัญญัติ คราวนี้จึงเลยเกิดสงสัยกันขึ้นว่า ทำอย่างนั้นถูกต้องตามพุทธบัญญัติหรือไม่
เพื่อยุติปัญหาเหมือนกับเรื่องจำนวนพระที่ยุติได้แล้วด้วยหลักฐานจากพระคัมภีร์ เราก็ควรจะไปหาคำตอบจากหลักฐานในพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน

ในกฐินขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค ภาค ๒ พระวินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๖ มีพระบาลีอันเป็นพระพุทธานุญาตต้นเดิมว่า 

อนุชานามิ   ภิกฺขเว  วสฺส  วุตฺถาน  ภิกฺขูน   กิน   อตฺถริตุ.  
แปลว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน

ในพระบาลีนี้ใช้คำว่า  วสฺส  วุตฺถาน  ภิกฺขูน  แปลว่า ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้ว ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันชัดเจนว่า พระที่จะรับกฐินได้ต้องเป็น ภิกษุทั้งหลาย คือเป็นภิกษุหลายรูป ไม่ใช่ ภิกษุรูปเดียว และต้องอยู่จำพรรษาครบไตรมาส คือสามเดือนในฤดูกาลเข้าพรรษา โดยไม่ขาดพรรษา
แต่พระบาลีไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นต้องจำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกันทั้งหมด หรือว่าแม้อยู่คนละวัดก็รับกฐินร่วมกันได้

ดูต่อไป ในคัมภีร์คัมภีร์มหาวรรค ภาค ๒ ข้อ ๙๗ มีพระบาลีว่า 

น  สมฺมา  เจว  อตฺถต  โหติ  กิน   ตฺเจ   นิสฺสีมฏฺโ   อนุโมทติ.  
แปลว่า  กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่นอกสีมาอนุโมทนา
กฐินนั้น 
ถอดความตามพระบาลีไว้ทีหนึ่งก่อนว่า  กฐินไม่เป็นกฐินถ้าภิกษุผู้รับกฐินนั้นเป็น นิสสีมัฏโฐ   
คำว่า  นิสสีมัฏโฐ  เขียนตามที่ยุติในภาษาบาลีแบบไทยว่า  นิสฺสีมฏฺโ  พระไตรปิฎกภาษาไทยแปลว่า ภิกษุผู้อยู่นอกสีมา

คัมภีร์สมันตปาสาทิกา อันเป็นอรรถกถาของวินัยปิฎก ขยายความคำว่า นิสสีมัฏโฐ  ไว้ว่า

นิสฺสีมฏฺโ  อนุโมทตีติ  พหิอุปจารสีมาย  ิโต  อนุโมทติ.
แปลว่า  ข้อว่า   นิสีมฎฺโ  อนุโมทติ   มีความว่า  ภิกษุผู้อยู่ภายนอกอุปจารสีมาอนุโมทนา. (สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ หน้า ๒๑๖)

เห็นได้ว่าพระไตรปิฎกภาษาไทยก็แปลตามคำอธิบายของอรรถกถานั่นเอง

ต่อไปก็คงต้องหาความรู้เกี่ยวกับคำว่า สีมา และ อุปจารสีมา กันก่อน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ บอกไว้ว่า
สีมา  เขต, แดน; เครื่องหมายบอกเขตโบสถ์ มักทําด้วยแผ่นหินหรือหลักหินเป็นต้น เรียกว่า ใบพัทธสีมา, ใบสีมา หรือ ใบเสมา ก็ว่า
อุปจาร  การเข้าใกล้, ที่ใกล้, บริเวณรอบ ๆ เช่น อุปจารวัด

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า
สีมา  เขตกำหนดความพร้อมเพรียงสงฆ์, เขตชุมนุมของสงฆ์, เขตที่สงฆ์ตกลงไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายที่อยู่ภายในเขตนั้นจะต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน แบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่คือ
๑. พัทธสีมา แดนที่ผูก ได้แก่ เขตที่สงฆ์กำหนดขึ้นเอง
๒.อพัทธสีมา แดนที่ไม่ได้ผูก ได้แก่เขตที่ทางบ้านเมืองกำหนดไว้แล้วตามปกติของเขา หรือที่มีอย่างอื่นในทางธรรมชาติเป็นเครื่องกำหนด สงฆ์ถือเอาตามกำหนดนั้นไม่วางกำหนดขึ้นเองใหม่
อุปจาร  เฉียด, จวนเจียน, ที่ใกล้ชิด, ระยะใกล้เคียง, ชาน, บริเวณรอบๆ; ดังตัวอย่างคำที่ว่า อุปจารเรือน อุปจารบ้าน แสดงตามที่ท่านอธิบายในอรรถกถาพระวินัยดังนี้
อาคารที่ปลูกขึ้น ร่วมในแค่ระยะน้ำตกที่ชายคาเป็นเรือน, บริเวณรอบๆ เรือนซึ่งกำหนดเอาที่แม่บ้านยืนอยู่ที่ประตูเรือนสาดน้ำล้างภาชนะออกไปหรือแม่บ้านยืนอยู่ภายในเรือน โยนกระด้งหรือไม้กวาดออกไปภายนอก ตกที่ใด ระยะรอบๆ กำหนดนั้นเป็น อุปจารเรือน
บุรุษวัยกลางคนมีกำลังดี ยืนอยู่ที่เขตอุปจารเรือน ขว้างก้อนดินไป ก้อนดินที่ขว้างนั้นตกลงที่ใด ที่นั้นจากรอบๆ บริเวณอุปจารเรือน เป็นกำหนด เขตบ้าน, บุรุษวัยกลางคนมีกำลังดีนั้นแหละ ยืนอยู่ที่เขตบ้านนั้นโยนก้อนดินไปเต็มกำลัง ก้อนดินตกเป็น เขตอุปจารบ้าน; สีมาที่สมมติเป็นติจีวราวิปปวาสนั้น จะต้องเว้นบ้านและอุปจารบ้านดังกล่าวนี้เสียจึงจะสมมติขึ้น คือใช้เป็นติจีวราวิปปวาสสีมาได้; ดู ติจีวราวิปปวาสสีมา ด้วย (ติจีวราวิปปวาสสีมา แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร สมมติแล้ว ภิกษุอยู่ห่างจากไตรจีวรในสีมานั้น ก็ไม่เป็นอันปราศ)

ใน สมันตปาสาทิกา  เรื่องทายกถวายจีวรให้แก่สีมา มีระบุถึงสีมาชนิดต่างๆ ๑๕ ชนิด มี อุปจารสีมา รวมอยู่ด้วย ท่านขยายความไว้ว่า

อุปจารสีมา เป็นแดนที่กำหนดด้วยเครื่องล้อมแห่งวัดที่ล้อมแล้ว (และ) ด้วยที่ควรแก่การล้อมแห่งวัดที่ไม่ได้ล้อม.
อีกอย่างหนึ่ง  จากสถานที่ภิกษุประชุมกันเป็นนิตย์ หรือจากโรงฉันอันตั้งอยู่ริมเขตวัด  หรือจากอาวาสที่อยู่ประจำ ภายใน ๒ ชั่วเลฑฑุบาต (ระยะที่ขว้างก้อนดินไปตก) ของบุรุษผู้มีแรงปานกลางเข้ามา พึงทราบว่าเป็นอุปจารสีมา.  ก็อุปจารสีมานั้น เมื่ออาวาสขยายกว้างออกไป ย่อมขยายออก เมื่ออาวาสร่นแคบเข้า ย่อมแคบเข้า.
แต่ในมหาปัจจรีแก้ว่า  อุปจารสีมานั้น เมื่อภิกษุเพิ่มขึ้น ย่อมกว้างออก เนื่องด้วยลาภถ้าภิกษุทั้งหลายนั่งเต็ม ๑๐๐ โยชน์ติดเนื่องเป็นหมู่เดียวกับพวกภิกษุผู้ประชุมในวัด แม้ที่ตั้ง  ๑๐๐  โยชน์ ย่อมเป็นอุปจารสีมาด้วย,  ลาภย่อมถึงแก่ภิกษุทั่วกัน. (สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ หน้า ๒๔๘)
 
จากหลักฐานข้อมูลเหล่านี้พอสรุปได้ว่า อุปจารสีมา ก็คือ ภายในบริเวณวัด  พูดให้ชัดเข้ามาอีกก็คือ ภายในบริเวณเขตโบสถ์ นั่นเอง
เงื่อนไขที่ว่า กฐินไม่เป็นอันกราน คือไม่เป็นกฐิน ถ้าภิกษุผู้รับกฐินนั้นเป็น นิสสีมัฏโฐ จึงได้ใจความว่า ถ้าภิกษุที่กรานกฐินอยู่ภายนอกวัด กฐินก็ไม่เป็นกฐิน  พูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ จะรับกฐินได้ก็ต้องมาอยู่ภายในเขตโบสถ์
แต่คำว่า กรานกฐิน ก็ยังต้องทำความเข้าใจให้ชัดด้วย นั่นก็คือ ในการทอดกฐินนั้นจะมีการกระทำสำคัญอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ
ญาติโยมเอาผ้ามาถวายพระสงฆ์ เป็นตอนหนึ่ง
พระสงฆ์ตกลงกันที่จะยกผ้านั้นให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เป็นตอนหนึ่ง
และภิกษุรูปนั้นเอาผ้านั้นไปจัดการตามวินัยบัญญัติจนสำเร็จเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งแล้วประชุมสงฆ์เพื่ออนุโมทนา ที่เรียกว่า กรานกฐิน นี่อีกตอนหนึ่ง
ที่ท่านกำหนดว่า กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ (คือโดยถูกต้อง) นั้นเป็นเรื่องที่หมายถึงในขั้นตอนที่ ๓ นี้ ซึ่งมีความหมายโดยสรุปว่า ถ้าพระภิกษุที่มาร่วมประชุมเพื่ออนุโมทนามีไม่ครบห้ารูป เพราะออกไปอยู่นอกวัดเสียบ้างละก็ ผ้าที่รับมาจากญาติโยมนั้นก็ไม่เป็นผ้ากฐินไปได้ ก็คือไม่สำเร็จเป็นกฐินนั่นเอง
ปัญหาก็คือ แล้วตอนที่รับผ้าจากญาติโยม และตอนที่ตกลงยกผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งล่ะ ต้องมีพระครบห้ารูปด้วยหรือเปล่า ?
ตอนรับผ้านั้นน่าจะไม่มีปัญหา คือจะรับกันกี่รูปก็ได้ เพราะยังไม่เป็นสังฆกรรม แต่ทุกวันนี้นิยมเอาผ้าไปถวายในวัดโดยนิมนต์พระทั้งวัดมารวมกันรับ ตอนถวายนี่แหละที่ญาติโยมเข้าใจกันว่าได้ทอดกฐินและสำเร็จเป็นกฐินไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วกระบวนการที่จะสำเร็จเป็นกฐินเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง จะสำเร็จเป็นกฐินหรือไม่เป็นกฐิน ยังจะต้องผ่านกรรมวิธีอีก ๒ ขั้นตอน คือ ตอนปรึกษาให้ผ้า และตอนกรานกฐิน
และทุกวันนี้พระสงฆ์ท่านนิยมทำพิธีปรึกษายกผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกันต่อหน้าญาติโยมที่นำผ้าไปถวายนั่นเอง
คือพระรูปหนึ่งจะกล่าวถามขึ้นท่ามกลางสงฆ์ว่า ผ้ากฐินที่ญาติโยมนำมาถวายนี้ควรจะยกให้แก่ภิกษุรูปไหน แล้วก็มีพระอีกรูปหนึ่งเสนอความเห็นว่าควรยกให้แก่ภิกษุชื่อนั้นชื่อนี้ ถ้าพระรูปไหนไม่เห็นด้วยก็ขอให้ทักท้วงขึ้นในที่นี้ ถ้าเห็นด้วยก็ขอให้ลงมติด้วยการเปล่งวาจาว่า สาธุ ขึ้นพร้อมกัน พระที่ชุมนุมกันเป็นสงฆ์ในที่นั้นก็เปล่งวาจาขึ้นพร้อมกันว่า สาธุ เป็นอันจบขั้นตอนการหารือลงมติ
ที่ว่ามานี้ก็คือพิธีการปรึกษหารือให้ผ้า ที่เรียกกันว่า อปโลกน์กฐิน
ต่อจากนั้น พระทั้งหมดก็จะต้องไปประชุมกันในโบสถ์ เพื่อทำพิธีสวดกรรมวาจายกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุชื่อนั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างเป็นทางการ ถ้าเป็นกฐินหลวงซึ่งมีธรรมเนียมรับกฐินในพระอุโบสถ พระท่านก็จะทำพิธีสวดกรรมวาจากันตอนนั้นเลย แปลว่า ตอนรับผ้า กับตอนให้ผ้า ท่านทำติดต่อกันไป
ควรทราบว่า การจะยกผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งนั้น จะต้องเป็นการลงมติของสงฆ์ 
คำว่า สงฆ์ ในทางวินัยบัญญัติ ท่านหมายถึงภิกษุตั้งแต่ ๔ (สี่) รูป ขึ้นไป แต่ สงฆ์ ในกิจเกี่ยวกับกฐินนี้ท่านกำหนดไว้แน่นอนแล้วว่า อย่างต่ำต้องมีภิกษุ ๕ (ห้า) รูป  เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันแน่นอนว่า ต้องมีพระครบห้ารูปไปตั้งแต่ตอนรับผ้า ให้ผ้ากฐินเป็นต้นไป จนถึงขั้นตอนพิธีกรานกฐิน คือภิกษุทั้งปวงอันได้นามว่า สงฆ์ ร่วมกันอนุโมทนา อันเป็นตอนสุดท้ายที่จะสำเร็จเป็นกฐินสมบูรณ์
เป็นที่เข้าใจตรงกันว่า สงฆ์ ที่รับผ้า สงฆ์ ที่ลงมติให้ผ้า และ สงฆ์ ที่อนุโมทนา จะต้องเป็นพระภิกษุชุดเดียวกัน
ตอนนี้ต้องขอย้ำว่า ในพระวินัยปิฎกท่านระบุไว้ว่า กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่นอกสีมาอนุโมทนากฐินนั้น  ซึ่งผมถอดความตามพระบาลีไว้ก่อนแล้วว่า  กฐินไม่เป็นกฐินถ้าภิกษุผู้รับกฐินนั้นเป็น นิสสีมัฏโฐ   
คำว่า  นิสสีมัฏโฐ  ก็หมายความว่า อยู่นอกเขต
กล่าวคือ ถ้าพระภิกษุที่มาร่วมประชุมเพื่ออนุโมทนามีไม่ครบห้ารูป มีภิกษุที่จะทำให้ครบห้ารูปได้ แต่เป็นพระที่ อยู่นอกเขต แล้วพระที่อยู่นอกเขตดังว่านี้ก็ร่วมอนุโมทนาด้วย เพื่อให้ครบห้ารูปตามพุทธบัญญัติ ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็ ผ้านั้นก็เป็นโมฆะ คือไม่สำเร็จเป็นกฐิน

คราวนี้ก็มาถึงปัญหาสำคัญ  คือคำว่า นิสสีมัฏโฐ ที่หมายความว่า อยู่นอกเขต นั้น คืออย่างไร กินความแค่ไหน ?
นัยที่ ๑ หมายความว่า ภิกษุที่จำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกันนั่นแหละ แต่เวลาที่รับผ้า ให้ผ้า และอนุโมทนา ตัวไม่ได้อยู่ในวัด คือไม่ได้เข้าร่วมประชุมสงฆ์ จะด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม จะนับเอาภิกษุรูปนั้นมารวมให้ครบห้ารูป ไม่ได้  เทียบได้กับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมสภา แม้จะเป็นสมาชิกของสภานั้น ก็จะใช้สิทธิ์ออกเสียงในเรื่องที่กำลังลงมติกันอยู่ในสภาขณะนั้นไม่ได้นั่นเอง หรือเทียบกับกรณีที่สมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุม การประชุมก็เกิดขึ้นไม่ได้แม้ว่าจำนวนสมาชิกของสภานั้นจะมีอยู่ครบก็ตาม
นัยที่ ๒ หมายความว่า  เป็นภิกษุที่จำพรรษาอยู่ต่างวัดกัน ภิกษุเช่นนี้จะนิมนต์มาให้ครบห้ารูปตามจำนวนที่วินัยกำหนดไว้ ก็ใช้ไม่ได้ กฐินก็ไม่เป็นอันกราน คือไม่เป็นกฐิน เทียบได้กับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสภานั้น ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะมาร่วมลงมติใดๆ กับที่ประชุมของสภานั้นนั่นเอง
ถามว่า ที่ว่า อยู่นอกเขต นั้น หมายความตามนัยไหน ?

          เกี่ยวกับประเด็นนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ วินัยมุข เล่ม ๓ ว่า

พระอรรถกถาจารย์แก้บทว่า  อยู่นอกสีมา  ว่าอยู่ในภายนอกแห่งอุปจารสีมา. 
๒ คำนี้ หมายความว่าผู้อำนวยให้ผ้ากฐินต้องเป็นผู้จำพรรษาอยู่ในสีมาเดียวกัน 
หรือว่าต้องทำพิธีอนุโมทนาในสีมา  ไม่ชัด  ข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายความข้อต้น
 
.....  ข้าพเจ้าเข้าใจว่า คำบาลีว่า   " กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ  ถ้าภิกษุผู้ตั้งอยู่นอกสีมาอนุโมทนา "  ห้ามไม่ให้เอาภิกษุอื่นมาเป็นคณปูรกะ หรือสวดกรรมวาจา

          ความจริงปัญหานี้ พระอรรถกถาจารย์มีคำอธิบายไว้ชัดเจนในตอนที่กล่าวถึงวิธีกรานกฐิน
          ในกฐินขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๖ มีพระบาลีตอนหนึ่งว่า

                   เอวญฺจ  ปน  ภิกฺขเว  กิน  อตฺถริตพฺพ  
                แปลเป็นไทยว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็แลสงฆ์พึงกรานกฐินอย่างนี้  

          พระบาลีตรงนี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายขยายความไว้ ซึ่งขอยกมาพร้อมทั้งคำแปลประโยคต่อประโยค ดังนี้

เอวฺจ  ปน  ภิกฺขเว  กิน  อตฺถริตพฺพนฺติ  เอตฺถ  
วินิจฉัยในคำว่า  เอวญฺจ  ปน  ภิกฺขเว  กิน  อตฺถริตพฺพ นี้ 
พึงทราบดังนี้ :-

กินตฺถาร  เก  ลภนฺติ  เก  น  ลภนฺตีติ  ฯ  
ถามว่า  ใครได้กรานกฐิน  ใครไม่ได้ ?

คณนวเสน  ตาว  
ตอบว่า  ว่าด้วยอำนาจแห่งจำนวนก่อน  

ปจฺฉิมโกฏิยา  ปฺจ  ชนา  ลภนฺติ  
ภิกษุห้ารูปเป็นอย่างต่ำย่อมได้กราน

อุทฺธ  สตสหสฺสมฺปิ  ฯ  
อย่างสูงแม้แสนก็ได้. 

ปฺจนฺน  เหฏฺา  น  ลภนฺติ  ฯ 
หย่อนห้ารูป ไม่ได้.

วุตฺถวสฺสวเสน  
ว่าด้วยอำนาจภิกษุผู้จำพรรษา 

*ปุริมิกาย  วสฺส  อุปคนฺตฺวา  ปมปวารณาย  ปวาริตา  ลภนฺติ  
ภิกษุผู้จำพรรษาในปุริมพรรษา ปวารณาในวันปฐมปวารณาแล้ว ย่อมได้

*ฉินฺนวสฺสา  วา  ปจฺฉิมิกาย  อุปคตา  วา  น  ลภนฺติ 
ภิกษุผู้มีพรรษาขาด  หรือจำพรรษาในปัจฉิมพรรษา  ย่อมไม่ได้ 

อฺสฺมึ  วิหาเร  วุตฺถวสฺสาปิ  น  ลภนฺตีติ  มหาปจฺจริย  วุตฺต  ฯ
 แม้ภิกษุที่จำพรรษาในวัดอื่นก็ไม่ได้.  ในมหาปัจจรีแก้ไว้ดังว่ามานี้

*ปุริมิกาย  อุปคตานมฺปน  สพฺเพ  ปจฺฉิมิกา  คณปูรกา  โหนฺติ 
และภิกษุทั้งปวงผู้จำพรรษาหลัง  เป็นคณปูรกะของภิกษุผู้จำพรรษาต้น
ก็ได้,

อานิสส  น  ลภนฺติ  
แต่พวกเธอไม่ได้อานิสงส์ 

อานิสโส  อิตเรสเยว  โหติ  ฯ  
อานิสงส์ย่อมสำเร็จแก่พวกภิกษุที่จำพรรษาต้น เท่านั้น. 

สเจ  ปุริมิกาย  อุปคตา  จตฺตาโร  วา  โหนฺติ  ตโย  วา  เทฺว  วา  เอโก  วา
ถ้าภิกษุผู้จำพรรษาต้นมีสี่รูป หรือสามรูป หรือสองรูป หรือรูปเดียว,

          อิตเร  คณปูรเก  กตฺวา  กิน  อตฺถริตพฺพ  ฯ  
          พึงนิมนต์ภิกษุผู้จำพรรษาหลังมาเพิ่มให้ครบคณะแล้วกรานกฐินเถิด. 

อถ  จตฺตาโร  ภิกฺขู  อุปคตา  เอโก  ปริปุณฺณวสฺโส  สามเณโร  
ถ้าภิกษุผู้จำพรรษาต้นมีสี่รูปมีสามเณรอายุครบอยู่รูปหนึ่ง

โส  เจ  ปจฺฉิมิกาย  อุปสมฺปชฺชติ  
หากสามเณรนั้นอุปสมบทในพรรษาหลัง

คณปูรโก  เจว  โหติ  อานิสสฺจ  ลภติ  ฯ  
เธอเป็นคณปูรกะได้  ทั้งได้อานิสงส์ด้วย. 

ตโย  ภิกฺขู  เทฺว  สามเณรา  เทฺว  ภิกฺขู  ตโย  สามเณรา  เอโก  ภิกฺขุ  
          จตฺตาโร  สามเณราติ  เอตฺถาปิ  เอเสว  นโย  ฯ  
           แม้ในกรณีมีภิกษุสาม  สามเณรสองมีภิกษุสอง  สามเณรสาม
มีภิกษุรูปเดียว  สามเณรสี่  ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ. 

สเจ  ปุริมิกาย  อุปคตา  กินตฺถารกุสลา  น  โหนฺติ  
ถ้าภิกษุผู้จำพรรษาต้น  ไม่เข้าใจในการกรานกฐิน

อตฺถารกุสลา   ขนฺธกภาณกตฺเถรา  ปริเยสิตฺวา  อาเนตพฺพา  
พึงหาพระเถระผู้สวดคัมภีร์ขันธกะซึ่งเข้าใจในการกรานกฐิน นิมนต์มา

กมฺมวาจ  สาเวตฺวา  กิน  อตฺถราเปตฺวา  ทานฺจ  ภุฺชิตฺวา  คมิสฺสนฺติ  ฯ  
ท่านสอนให้สวดกรรมวาจา  ให้กรานกฐิน  และรับทานแล้วจักไป.  

          อานิสโส  ปน  อิตเรสเยว  โหติ  ฯ         
ส่วนอานิสงส์ย่อมสำเร็จแก่ภิกษุผู้จำพรรษาต้น เท่านั้น.

- สมันตปาสาทิกา (อรรถกถาวินัยปิฎก) ภาค ๓ หน้า ๒๑๐

                มีบางประเด็นที่เห็นควรขยายความเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับท่านที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นกับถ้อยคำและธรรมเนียมของสงฆ์ (โปรดดูประโยคข้างต้นที่มีเครื่องหมายดอกจัน)
          คือ การเข้าพรรษาของภิกษุสงฆ์นั้นท่านกำหนดไว้ ๒ ระยะ คือ เข้าพรรษาต้น ที่เรียกว่า ปุริมพรรษา และเข้าพรรษาหลัง ที่เรียกว่า ปัจฉิมพรรษา
          เข้าพรรษาต้น กำหนดตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๘ จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ นี่ก็คือการเข้าพรรษาที่พระสงฆ์ท่านปฏิบัติกันอยู่ทั่วไปทุกปี และที่ชาวบ้านรู้จักกันทั่วไปนั่นเอง
          เข้าพรรษาหลัง กำหนดตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๙ จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ก็คือล่าออกไปอีก ๑ เดือน เป็นกรณีที่ภิกษุบางรูปมีเหตุขัดข้องบางประการ เช่นมาไม่ทันเข้าพรรษาต้น หรือเพิ่งบวชหลังจากเข้าพรรษาต้นไปแล้ว จึงต้องเลื่อนไปเข้าพรรษาหลัง
          กรณีเข้าพรรษาหลังนี้ไม่ค่อยปรากฏบ่อยนัก คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรู้ แต่เป็นกรณีที่มีได้ และสามารถทำได้ตามวินัยบัญญัติ
          และมีข้อกำหนดไว้ในวินัยว่า พระที่เข้าพรรษาหลังนั้นจะไม่ได้รับอานิสงส์กฐิน พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็ว่า ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน แต่อาจเข้าร่วมสังฆกรรมกฐินได้ในบางกรณี

          คราวนี้ก็ขอสรุปมติหลักๆ ของพระอรรถกถาจารย์เกี่ยวกับเรื่องรับกฐินตามที่ยกมาอ้างข้างต้น ดังนี้
          ๑. จำนวนพระที่จะรับกฐินได้ อย่างต่ำต้อง ๕ รูป  นี่เป็นเรื่องที่รับรู้และปฏิบัติกันทั่วไปอยู่แล้ว
          ๒. พระที่เข้าพรรษาต้น (ปุริมพรรษา) เท่านั้นที่มีสิทธิ์รับกฐิน พระที่เข้าพรรษาหลัง (ปัจฉิมพรรษา) ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน
          ๓. พระที่เข้าพรรษาต้น ถ้าพรรษาขาด เช่นในระหว่างเข้าพรรษาไปค้างแรมนอกเขตที่กำหนดจำพรรษาโดยไม่เข้าเกณฑ์ที่ได้รับยกเว้น หรือออกไปนอกเขตที่กำหนดจำพรรษาก่อนจะรุ่งอรุณ เป็นต้น ก็ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน  เรื่องนี้ก็เป็นที่รับรู้และปฏิบัติกันทั่วไปอยู่แล้วเช่นเดียวกัน
          ๔. วัดที่มีพระจำพรรษาไม่ถึงห้ารูป จะไปนิมนต์พระวัดอื่นมาให้ครบห้ารูปเพื่อรับกฐิน ไม่ได้
ข้อนี้แหละคือปัญหาที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน เมื่อได้เห็นมติของพระอรรถกถาจารย์ดังที่ยกมาอ้างนั่นแล้ว ต่อไปนี้ก็ควรจะเข้าใจตรงกันได้แล้ว
๕. ถ้าพระที่เข้าพรรษาต้นมีไม่ครบห้ารูป และในวัดเดียวกันนั้นมีพระที่เข้าพรรษาหลังอยู่ด้วย สามารถเอาพระที่เข้าพรรษาหลังมาร่วมสังฆกรรมกฐินเพื่อให้ครบห้ารูปได้ พระที่เข้าพรรษาหลังนั้นแม้มาร่วมสังฆกรรมได้ แต่ก็ยังคงไม่ได้รับอานิสงส์กฐินอยู่นั่นเอง
ข้อนี้อาจจะเป็นที่มาของความเข้าใจที่ว่า นิมนต์พระจากที่อื่นมาให้ครบห้ารูปก็รับกฐินได้  พระจากที่อื่น ที่จะนิมนต์มาให้ครบห้ารูปเพื่อรับกฐินได้นั้นก็คือ พระที่จำพรรษาหลังในวัดเดียวกันเท่านั้น
ตามหลักแล้วพระที่จำพรรษาหลังไม่มีสิทธิ์รับกฐิน (ดูสรุปมติข้อ ๒) แต่ในกรณีพระที่จำพรรษาต้นซึ่งมีสิทธิ์รับกฐินโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว ขาดแต่มีจำนวนไม่ครบองค์สงฆ์ตามที่กำหนดเท่านั้น จึงให้เอาพระที่จำพรรษาหลังในวัดเดียวกันนั้นมาร่วมสังฆกรรมได้ เพื่ออนุเคราะห์พระที่จำพรรษาต้นไม่ให้ต้องเสียสิทธิ์ไปเปล่าๆ น่าจะเป็นด้วยเหตุผลนี้จึงให้ทำเช่นนั้นได้ ขอให้สังเกตว่าแม้จะให้เอาพระที่จำพรรษาหลังมาร่วมสังฆกรรมได้ แต่ก็ต้องเป็นวัดเดียวกันอยู่นั่นเอง มิใช่จำพรรษาอยู่ต่างวัดกัน
          ๕. ถ้าในวัดนั้นมีสามเณรอายุครบบวช และสามเณรนั้นบวชเป็นพระหลังจากเข้าพรรษาต้นแล้ว จึงไปเข้าพรรษาหลัง  พระที่มาจากสามเณรเช่นนี้ก็สามารถเข้าร่วมสังฆกรรมกฐินเพื่อให้ครบห้ารูปได้เช่นเดียวกัน ทั้งได้รับอานิสงส์กฐินด้วย เรียกว่ามีสิทธิ์รับกฐินได้โดยสมบูรณ์นั่นเอง
          ขอตั้งข้อสังเกตว่า พระที่เข้าพรรษาหลัง ไม่มีสิทธิ์รับกฐิน แต่สามเณรที่อายุครบบวชแล้วบวชเข้าพรรษาหลัง มีสิทธิ์รับกฐิน
ข้อนี้น่าจะมีความหมายว่า พระที่เข้าพรรษาหลังเป็นพระที่มาจากที่อื่นจึงเข้าพรรษาต้นไม่ทัน ส่วนสามเณรนั้นอยู่ที่วัดนั้นมาแต่ต้น ต่างว่าสามเณรรูปนั้นเป็นพระ ก็ย่อมจะได้เข้าพรรษาต้นมาแล้วพร้อมกับพระอื่นๆ นั่นเอง ดังนั้นเมื่อบวชเป็นพระเข้าพรรษาหลัง ก็อนุโลมว่าเหมือนกับได้เข้าพรรษาต้นมาแล้ว จึงให้มีสิทธิ์รับกฐิน
          ๖. ในกรณีที่พระในวัดนั้นมีจำนวนครบห้ารูปแล้วก็จริง แต่ไม่รู้วิธีรับกฐิน ท่านอนุญาตให้ไปนิมนต์พระที่รู้วิธีมาเป็นผู้ดำเนินการให้ คือมาสอนวิธีสวด สอนวิธีกรานกฐินให้ได้ แต่พระที่มาแนะนำนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับอานิสงส์กฐินในวัดนั้น (แบบเดียวกับพระที่เข้าพรรษาหลังดังสรุปมติข้อ ๕)
          ข้อนี้ก็อาจเป็นที่มาของความเข้าใจที่ว่า นิมนต์พระจากที่อื่นมารับกฐินได้ ขอให้สังเกตว่า กรณีนี้หมายถึงพระที่วัดนั้นมีครบห้ารูปแล้ว สามารถรับกฐินตามพุทธบัญญัติได้อยู่แล้ว ขัดข้องตรงที่ไม่รู้วิธีรับเท่านั้น พระจากวัดอื่นที่นิมนต์มา ท่านเพียงมาทำหน้าที่แนะวิธีให้ มิใช่มาเพื่อทำให้ครบองค์สงฆ์  จึงเป็นคนละกรณีกัน
          ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นการสรุปมติของพระอรรถกถาจารย์

          ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นประกอบ และเป็นความคิดเห็นของผมเอง

          ถ้าการนิมนต์ภิกษุต่างวัดมาร่วมสังฆกรรมกฐินเพื่อให้ครบห้ารูป เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไซร้ ก็น่าจะมีปัญหาควรถามตามมาอีกหลายประเด็น เช่น
          ถ้าในวัดนั้นมีภิกษุรูปเดียว และถ้ารับกฐินได้ เมื่อมีผ้ากฐินเกิดขึ้น ตามหลักก็จะต้องมีมติของสงฆ์ว่าควรยกผ้าผืนนั้นให้แก่ภิกษุรูปไหน ภิกษุรูปเดียวนั้นจะไปหามติของสงฆ์มาจากไหน ในเมื่อตนเองอยู่รูปเดียว ?
ถ้านิมนต์ภิกษุจากวัดอื่นมาเป็นสงฆ์ ก็จะเท่ากับว่า กิจของวัดนี้ แต่กลับต้องให้พระวัดโน้นมาออกความเห็น จะไม่ดูเป็นเรื่องตลกไปหรือ ?
มติสงฆ์ในการให้ผ้าจะต้องเป็นเอกฉันท์ (มติสงฆ์ในสังฆกรรมทุกประเภทต้องเป็นเอกฉันท์ทั้งนั้น) ถ้าภิกษุที่นิมนต์มาจากต่างวัดไม่เห็นชอบที่จะให้ผ้าแก่ภิกษุในวัดนั้น แต่เห็นควรให้แก่ภิกษุต่างวัด ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น จะว่าอย่างไรกัน ?
ผ้ากฐินเกิดขึ้นในวัดนี้ แต่กลับไปตกแก่ภิกษุวัดโน้น ก็ตลกอีกเหมือนกัน
ถ้าเป็นมารยาทที่ภิกษุจากต่างวัดที่นิมนต์ไปเป็นสงฆ์อีกวัดหนึ่งจะต้องมีหน้าที่เพียง เห็นชอบ ตามที่ภิกษุในวัดนั้นตกลงกันแล้วเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ จะกำหนดจำนวนพระ ๕ รูป ไว้ทำไม ในเมื่อภิกษุ ๔ รูปก็เป็นสงฆ์ได้ หรือแม้ภิกษุรูปเดียวก็สามารถตกลงใจยกผ้าให้ใครก็ได้อยู่แล้ว การประชุมสงฆ์ ๕ รูปเพื่อทำสังฆกรรมกฐินก็จะเป็นเพียงการเล่นละครอะไรอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง และนั่นคือความมุ่งหมายของพุทธบัญญัติเรื่องกฐินเช่นนั้นหรือ ?
          อีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เคยได้ยินใครสงสัย แต่ควรสงสัยไว้ด้วย คือ ถ้าในวัดนั้นมีภิกษุรูปเดียว หรือมีไม่ครบห้ารูป เมื่อมีผ้ากฐินเกิดขึ้น จะเอาผ้านั้นไปทำสังฆกรรมกฐินที่วัดอื่นที่มีภิกษุครบห้ารูปได้หรือไม่ คือแทนที่จะนิมนต์พระมาจากวัดอื่น ก็เอาผ้าไปทำสังฆกรรมที่วัดอื่นเสียเลย จะได้หรือไม่ ?
          คำถามนี้คงมีคนรู้สึกว่า ไม่น่าจะได้ เหตุผลที่รู้สึกว่าไม่น่าจะได้ก็คือ ผ้ากฐินเกิดขึ้นที่วัดไหนก็ควรจะทำสังฆกรรมที่วัดนั้น คือควรเป็นเรื่องของวัดใครวัดมัน ไม่อย่างนั้นก็จะสับสนปนเปกันไปหมด 
ถ้าวัดไหนรับกฐินกันไปเรียบร้อยแล้ว มีพระวัดอื่นมาขอใช้สถานที่ทำสังฆกรรมกฐินอีก (เพื่อจะได้มีพระครบห้ารูป) ก็จะกลายเป็นว่า ในปีเดียวกันนั้นวัดหนึ่งสามารถรับกฐินได้หลายครั้ง  ก็ผิดพุทธบัญญัติอีก
ในที่สุดแล้วจะเห็นได้ว่า กฐินเป็นสังฆกรรมเฉพาะสงฆ์ในแต่ละวัด มุ่งหมายให้เป็นความสามัคคีของภิกษุที่อยู่ร่วมกันในแต่ละอาวาส  การนำภิกษุต่างอาวาสมาร่วมสังฆกรรมกฐินด้วย จึงผิดต่อความมุ่งหมายของกฐิน

ในหนังสือ วินัยมุข เล่ม ๓ กัณฑ์ที่ ๒๖ เรื่องกฐิน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า

ภิกษุผู้กรานกฐินต้องเป็นผู้จำพรรษามาแล้วถ้วนไตรมาส
ไม่ขาด ในอาวาสเดียวกัน  มีจำนวนตั้งแต่  ๕  รูปขึ้นไป

          คำถวายกฐินพระราชทาน มีข้อความอยู่ตอนหนึ่งว่า

                   ... น้อมนำมาถวายแด่พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาส
ในอาวาสวิหารนี้

ที่มาที่อ้างทั้ง ๒ นี้ จะกล่าวมาจากหลักฐานอะไร หรือไม่ได้คำนึงถึงหลักฐานอะไร ก็ตามที แต่ลึกๆ ลงไปในใจของผู้กล่าวคงจะต้องเข้าใจกันมาแล้ว และมั่นใจอยู่แล้วว่า ภิกษุหรือสงฆ์ที่จะรับกฐินได้ ต้องอยู่ในอาวาสเดียวกัน เพราะถ้ามีภิกษุที่มาจาก อาวาสอื่น รวมอยู่ด้วยได้  ก็คงพูดไม่ได้ว่า  พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ใน อาวาสวิหารนี้
ข้อความในคำถวายกฐินพระราชทาน อาจตีความได้ว่า น้อมนำมาถวายในอาวาสนี้  มิได้หมายถึง พระสงฆ์ที่จำพรรษาในอาวาสนี้  ถ้าตีความอย่างนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คือจะกลายเป็นว่า จำพรรษาในวัดหนึ่ง ก็สามารถไปรับกฐินอีกวัดหนึ่งได้ ถ้าเป็นอย่างนี้พุทธบัญญัติเรื่องกฐินก็เป็นอันไม่เหลืออะไร

ผมค้นหาหลักฐานเรื่องที่มาของพระห้ารูปได้เท่าที่เสนอมานี้ ซึ่งสรุปได้ว่า นิมนต์พระต่างวัดมารับกฐินเพื่อให้ครบห้ารูป ไม่ได้
ท่านผู้ใดมีหลักฐานเหนือกว่านี้ ที่แสดงว่า นิมนต์พระต่างวัดมารับกฐินเพื่อให้ครบห้ารูป ได้   ขอได้โปรดแสดงให้สาธารณชนได้รู้ได้เห็น ก็จะเป็นมหากุศลแก่ชาวพุทธโดยทั่วกัน


 --------------------------

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
พรรษากาล ๒๕๕๔

5 comments:

  1. สาธุ ถูกต้องดีแล้ว

    ReplyDelete
  2. ที่ท่านกล่าวมาถูกต้องดีแล้ว

    ReplyDelete
  3. แบบนี้ วัดเล็ก ๆ ตามชนบท ก็ไม่มีโอกาสรับกฐินหรือครับ
    น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้วัดเล็กที่ไม่มีใครไปทอดกฐิน
    ได้มีโอกาสบ้าง

    ReplyDelete
  4. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=05&A=4274&Z=4312 ข้อมูลแค่นี้คงจะพอได้หากเห็นด้วยกรุณาตามแก้ข้อความที่ได้ลงไว้ในที่ต่างๆด้วย

    ReplyDelete
  5. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=05&A=4274&Z=4312 ข้อมูลแค่นี้คงจะพอได้หากเห็นด้วยกรุณาตามแก้ข้อความที่ได้ลงไว้ในที่ต่างๆด้วย

    ReplyDelete